มีเงิน 50,000 ลงทุนอะไรดี ให้เป็นเศรษฐีในวันข้างหน้า

  • 11 พ.ค. 2563
  • 22015
หางาน,สมัครงาน,งาน,มีเงิน 50,000 ลงทุนอะไรดี ให้เป็นเศรษฐีในวันข้างหน้า

มีเงิน 50,000 ลงทุนอะไรดี จะฝากประจำ ซื้อกองทุน หรือเล่นหุ้นดี เยอะแยะไปหมด เลือกไม่ถูก ถ้าไม่รู้ว่ามีเงิน 5 หมื่นจะเอาไปลงทุนอะไรดี ลองมาอ่านบทความนี้ดูก่อน ไม่แน่ คุณอาจจะได้คำตอบก็ได้ ลองดูครับ
    
         มีเงิน 50,000 บาท ลงทุนอะไรดี เป็นคำถามยอดฮิตของคนรุ่นใหม่มักจะถามกัน เพราะใคร ๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดี มีเงินทองใช้คล่องไม่ขาดมือ และอยากประสบความสำเร็จในชีวิตภายในเวลาอันรวดเร็ว มนุษย์เงินเดือนหลายคนจึงใฝ่ฝันจะจับเงินล้านให้ได้สักครั้งในชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็มีการวางแผนการเงินที่แตกต่างกันออกไปตามทุนทรัพย์ที่ตนเองมีอยู่         

 

มีเงิน 50,000 ลงทุนอะไรดี ให้เป็นเศรษฐีในวันข้างหน้า


         ทุกคนที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาไม่มีใครอยากลงทุนไปแล้วขาดทุนครับ แต่แน่นอนครับว่าในทุก ๆ การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ใช่ว่าเราลงทุน 50,000 บาท จะได้กลับมาเท่าเดิมเสมอไป หรือจะให้ได้กำไรปุ๊บปั๊บเลยก็อาจจะไม่ใช่ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลาและความอดทนทั้งนั้น      

         ดังนั้นวันนี้กระปุกดอทคอมจะมาแนะนำทางเลือกในการลงทุนโดยเริ่มต้นต่อยอดจากเงิน 50,000 บาท ซึ่งต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าแนวทางที่นำมาเสนอเป็นเพียงทางเลือกประกอบการตัดสินใจเท่านั้น และไม่ได้รับประกันว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จในทุก ๆ การลงทุนนะครับ ดังนั้นหากใครที่กลัวว่าลงทุนไปแล้วจะขาดทุน ไม่คุ้มทุน ก็ขอให้ศึกษารายละเอียดของการลงทุนให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งนะครับ เราจะไปเริ่มจากวิธีการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยไปหาความเสี่ยงมากเพื่อความสะดวกในการตัดสินใจนะครับ ไปดูกันได้เลย


 



ลงทุนในเงินฝากประจำ

         การฝากเงินกับธนาคาร เป็นการลงทุนที่แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลย คือ ฝาก 50,000 รับรองได้ว่าได้รับเงินต้นกลับมา 50,000 แน่ ๆ แถมได้ดอกเบี้ยด้วย แต่การฝากเงินในปัจจุบันมักไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ เพราะให้ผลตอบแทนน้อยและใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล (ดอกเบี้ย)

           
แต่สำหรับใครที่อยากเริ่มต้นการลงทุนในเงินฝาก กระปุกดอทคอมก็ขอแนะนำเป็นการ "ฝากประจำ" จะดีกว่าครับ เพราะให้ผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากแบบออมทรัพย์ ซึ่งก็มีให้เลือกหลายแบบทั้งแบบฝากประจำปลอดภาษี ที่ต้องฝากเท่ากันทุก ๆ เดือน และแบบฝากประจำธรรมดาที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 3 6 12 24 48 60 เดือน ให้เลือก โดยข้อดีของการฝากเงินคือ ไม่มีความเสี่ยง เพราะผลตอบแทนไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของธนาคาร และได้ดอกเบี้ยในอัตราที่แน่นอน
                
ลงทุนในสลากออมสิน


         สลากออมสิน เป็นรูปแบบหนึ่งของการออมเงิน ซึ่งจะว่าไปก็คล้าย ๆ กับการฝากเงินแบบฝากประจำ เน้นฝากระยะยาว เป็นเงินเย็น ซึ่งจะแตกต่างจากเงินฝากทั่วไปตรงที่ผู้ฝากจะมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลในทุก ๆ เดือนคล้ายกับการออกรางวัลลอตเตอรี่ นอกจากนี้ผู้ฝากยังจะได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่ธนาคารออมสินเป็นผู้กำหนด และเมื่อครบกำหนดก็จะได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย 

          ตัวอย่างเช่น ซื้อสลากออมสินพิเศษอายุ 3 ปี หน่วยละ 50 บาท อัตราดอกเบี้ย (ณ เดือนมีนาคม 2560) คือ...

 

สลากออมสิน
 
          - เงินรางวัล
สลากออมสิน
 

          - ผลตอบแทนขั้นต่ำ
 

สลากออมสิน
            ภาพจาก ธนาคารออมสิน 


         ดังนั้นหากมีเงิน 50,000 บาท นำไปซื้อสลากออมสิน 3 ปี หน่วยละ 50 บาท จะได้ทั้งสิ้น 1,000 หน่วย หากฝากครบ 3 ปี จะได้ดอกเบี้ย 750 บาท ดังนั้นผลตอบแทนที่จะได้รับหลังฝากครบ 3 ปีจะเท่ากับ 50,000+750 = 50,750 บาท ซึ่งอาจดูเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่อย่าลืมว่าเรายังมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลอื่น ๆ อีก 36 งวดด้วย
 
         ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดของสลากออมสินได้ที่ ธนาคารออมสิน
                 
                 
ลงทุนในสลากออมทรัพย์ ทวีสิน ธกส.

         สลากออมทรัพย์ ทวีสิน ธกส. มีลักษณะคล้ายกับสลากออมสิน โดยสลากออมทรัพย์ ทวีสิน ธกส. มีอายุการรับฝาก 3 ปี  กำหนดออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของทุกเดือน โดยเมื่อฝากครบกำหนด ธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยให้ตามที่ระบุไว้ แต่จะไม่จ่ายดอกเบี้ยในกรณีที่ผู้ฝากถอนเงินคืนก่อนครบกำหนด

          ตัวอย่างเช่น ซื้อสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดที่ 4 หน่วยละ 100 บาท หากฝากครบกำหนด 3 ปี จะได้ดอกเบี้ยหน่วยละ 1.25 บาท หรือร้อยละ 0.42 ต่อปี (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2560) 

 

สลาก     


          ดังนั้นหากมีเงิน 50,000 บาท นำไปซื้อสลากออมทรัพย์ หน่วยละ 100 บาท จะได้ทั้งสิ้น 500 หน่วย หากฝากครบกำหนด 3 ปีจะได้ดอกเบี้ยหน่วยละ 1.25 บาท หรือเท่ากับ 625 บาท ดังนั้นผลตอบแทนที่จะได้รับหลังฝากครบ 3 ปีจะเท่ากับ 50,000+625 = 50,625 บาท

          อย่างไรก็ตาม ผู้ฝากยังมีโอกาสลุ้นรางวัลใหญ่อีก 36 งวด

          ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดของสลากออมทรัพย์ ทวีสิน ธกส. ได้ที่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 

ลงทุนในตราสารหนี้

          การลงทุนใน "ตราสารหนี้" เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะมีความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก โดยผู้ซื้อตราสารหนี้จะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และได้เงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุ ตัวอย่างตราสารหนี้ที่หลายคนรู้จัก เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน นอกจากนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ยังช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนของเราได้อีกด้วย
    
          ตราสารหนี้ มีหลายประเภทและหลายรูปแบบ เพราะโดยทั่วไปผู้ออกมักจะมีการออกตราสารหนี้ให้สอดคล้องกับความต้องการเงินทุนและความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตของผู้ออก

         ตราสารหนี้แบ่งตามประเภทของผู้ออก

         1. ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล 

          ตราสารหนี้ชนิดนี้ผู้ลงทุนมีฐานะเป็นเจ้าหนี้รัฐบาลโดยตรง ตราสารหนี้ชนิดนี้ถือว่าไม่มีความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระดอกเบี้ยและเงินต้น ซึ่งตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปเรียกว่า พันธบัตรรัฐบาล โดยอาจแบ่งได้เป็นระยะสั้น 1-5 ปี ระยะกลาง 5-10 ปี และระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป โดยในปัจจุบันระยะเวลาสูงสุดที่ออกขายคือ 20 ปี พันธบัตรรัฐบาลมีมูลค่าหน้าตั๋วหรือที่เรียกว่าราคาพาร์  เท่ากับ 1,000 บาทต่อหน่วย โดยทั่วไปมีลักษณะการจ่ายดอกเบี้ยเป็นแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed rate) โดยจ่ายปีละ 2 ครั้ง และชำระคืนเงินต้นครั้งเดียว ณ วันไถ่ถอน ปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลมีสัดส่วนมากเป็นอันดับหนึ่งในตลาดตราสารหนี้ ทั้งในด้านมูลค่าคงค้างและปริมาณการซื้อขาย
 
         2. ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ 

          เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรภาครัฐ เช่น พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย พันธบัตรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พันธบัตรองค์กรของรัฐมีลักษณะเช่นเดียวกับพันธบัตรรัฐบาล โดยมีมูลค่าต่อหน่วยเท่ากับ 1,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยแบบคงที่ ปีละ 2 ครั้ง การชำระคืนเงินต้นเกิดขึ้นครั้งเดียว ณ วันไถ่ถอนเช่นเดียวกับพันธบัตรรัฐบาล

         3. ตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือ "หุ้นกู้" 

          เป็นตราสารหนี้ที่มีอายุมากกว่า 1 ปีที่ออกโดยบริษัทเอกชน เพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนและประชาชนทั่วไปเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการการลงทุนในหุ้นกู้นั้น นักลงทุนจะต้องคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระดอกเบี้ยและเงินต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความมั่นคงและฐานะทางการเงินของบริษัทผู้ออก ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นกู้จะมีความเสี่ยงสูงเสมอไป

          โดยประเภทของพันธบัตรที่เป็นที่นิยมของนักลงทุนรายย่อยที่มีวงเงินการลงทุนไม่สูงนัก  ก็คือ “พันธบัตรออมทรัพย์” ซึ่งเป็นชื่อเรียกของพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาล ออกเสนอขายให้แก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไปโดยตรง ซึ่งนักลงทุนสามารถติดต่อจองซื้อได้โดยตรงจากสถาบันการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายพันธบัตรในแต่ละงวด โดยได้กำหนดมูลค่าขั้นต่ำที่จะลงทุนได้ไว้เพียง 10,000 บาท และขั้นสูงไม่เกิน 5 แสนบาท เพื่อเปิดโอกาสแก่นักลงทุนรายย่อยเข้าไปลงทุนได้

          ทั้งนี้การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล ยังมีข้อกำหนดและเงื่อนไขอื่น ๆ อีก เช่น ห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือนอกกลุ่มนักลงทุนบุคคลธรรมดาภายใน 1 ปีแรก ส่วนเงื่อนไขของการลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ ผู้ลงทุนสามารถศึกษาได้จากหนังสือชี้ชวนการลงทุน
         
          ตัวอย่างเช่น หากซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ครั้งที่ 1 (เปิดรับฝากระหว่างวันที่ 13 ธันวาคม 2559-21 เมษายน 2560) รุ่นอายุ 3 ปี จะได้รับดอกเบี้ยร้อยละ 2.00 ต่อปี แต่หากเป็นรุ่น 7 ปี จะได้รับดอกเบี้ยร้อยละ 2.56 ต่อปี โดยจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท (ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย)
 
          ดังนั้นถ้าหากนำเงิน 50,000 บาท ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยมีระยะเวลาในการถือครอง 3 ปี จะได้ดอกเบี้ยทั้งสิ้น 50,000x0.02x3= 3,000 บาท และจะได้ผลตอบแทนเป็นเงินสุทธิเท่ากับ 50,000+3,000=53,000 บาท
          

อ่าน Fund Fact Sheet อย่างไร เข้าใจกองทุนรวม


ลงทุนในกองทุนรวม

          "กองทุนรวม" (Mutual Fund) คือ โครงการลงทุนที่ระดมเงินทุนจากนักลงทุนหลาย ๆ คนมารวมกันให้เป็นเงินลงทุนก้อนใหญ่ แล้วนำไปจดทะเบียนให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล จากนั้นก็จะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ตามนโยบายการลงทุนที่ได้ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายแก่นักลงทุน 

          ทั้งนี้ นักลงทุนแต่ละรายจะได้รับ “หน่วยลงทุน” เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันฐานะความเป็นเจ้าของในเงินที่ได้ลงทุนไป โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นผู้จัดตั้งและทำหน้าที่บริหารกองทุนรวมให้ได้ผลตอบแทน แล้วนำมาเฉลี่ยคืนให้กับนักลงทุนแต่ละรายตามสัดส่วนที่ลงทุนไว้ตั้งแต่แรกในกองทุนรวมนั้น กองทุนรวมมีหลายประเภท เช่น กองทุนรวมตราสารทุน กองทุนตราสารหนี้ กองทุนรวมตลาดเงิน เป็นต้น

          กองทุนรวม เป็นการลงทุนที่เข้าถึงได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่อยากลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แต่ไม่มีเวลาติดตามข่าวสารสถานการณ์ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก หรือว่าไม่ค่อยมีความรู้เรื่องหุ้นและตราสารหนี้ กลัวเล่นหุ้นแล้วจะขาดทุน ไม่มีประสบการณ์ลงทุน ไม่มั่นใจจะลงทุนด้วยตนเอง มีเงินไม่มาก แต่อยากลงทุน การซื้อกองทุนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ             
     
          อย่างกองทุนรวมตลาดเงิน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ประมาณ 1% หากเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ผลตอบแทนจะอยู่ที่ราว ๆ 1-2% หากซื้อกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี จะอยู่ที่ราว ๆ 3-5% หรือถ้าเพิ่มความเสี่ยงหน่อย ลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้น ก็มีสิทธิ์ได้รับผลตอบแทนสูงถึง 10% หรือมากกว่านั้น แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะติดลบถึง 10% ได้เช่นกันขึ้นอยู่กับสถานการณ์การลงทุนในแต่ละปี (ข้อมูลจาก wealthmagik.com)           

          ทั้งนี้ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมสามารถเปิดบัญชีเพื่อซื้อกองทุนโดยใช้เงินทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาทเท่านั้น (สำหรับบางธนาคาร) ขณะที่บางธนาคารอาจกำหนดวงเงินขั้นต่ำในการลงทุนที่ 1,000 บาท 2,000 บาท หรือ 5,000 บาท ซึ่งนับว่าเป็นการลงทุนที่ใช้เงินทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจทีเดียว

          ก่อนการลงทุนทุกครั้ง ผู้ลงทุนควรศึกษานโยบายของกองทุนจากหนังสือชี้ชวนเสนอขายเสียก่อน เพื่อพิจารณาว่ากองทุนไหนเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุดและเรารับความเสี่ยงได้ในระดับไหน ทั้งนี้ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุนรวมสามารถศึกษารายละเอียดประเภทของกองทุนและกฎเกณฑ์วิธีการต่าง ๆ ของกองทุนรวมได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)

          - เริ่มต้นลงทุนกองทุนรวมอย่างมั่นใจ มือใหม่ก็ทำได้
          - กองทุนรวม กับข้อมูลเบื้องต้นชวนรู้สำหรับผู้ที่สนใจลงทุน 
          - ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ก่อนควักตังค์ลงทุนกองทุนรวม

ลงทุนในหุ้น 

          หุ้นเป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่เมื่อเราลงทุนในหุ้นของบริษัทใด เราก็จะมีสถานะเป็น “เจ้าของ” ของบริษัทนั้น ซึ่งมีทั้งโอกาสได้รับกำไรหากกิจการของบริษัทดำเนินไปได้ดี และก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกันหากการดำเนินกิจการมีปัญหา ถึงแม้ว่าการลงทุนในหุ้น จะเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ แต่การลงทุนในหุ้นก็เป็นทางเลือกที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง โดยผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีอยู่ที่ 12% แต่ก็มีโอกาสที่จะติดลบได้มากกว่า 12% เช่นกัน 

          อย่างไรก็ดี หุ้นบางตัวอาจให้ปันผลแก่ผู้ถือหุ้นด้วย ตั้งแต่ 0.01-10% ของราคาหุ้น (ข้อมูลจาก siamchart.com) ดังนั้นหากใครอยากลงทุนในหุ้นก็จะต้องหมั่นติดตามข่าวสารที่เกี่่ยวกับหุ้น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นและวิธีการรับมือกับความเสี่ยง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นมีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ (capital gain) เงินปันผล (dividend) สิทธิในการจองซื้อหุ้นออกใหม่ (rights offering) โดยหลักการแล้ว นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตราบใดที่บริษัทมีผลประกอบการที่ดี และหุ้นมีราคาเพิ่มขึ้น
           

          การลงทุนในหุ้นควรเป็นเงินเย็นจะดีกว่า กล่าวคือไม่ควรกู้เงินมาลงทุนในหุ้น เพราะอาจไม่คุ้ม เนื่องจากการลงทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง แต่ใช่ว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่สามารถเล่นหุ้นได้ เพราะเพียงแค่คุณมีวินัยการคลังก็สามารถเล่นหุ้นได้ โดยใช้วิธี DCA หรือ การซื้อหุ้นเฉลี่ยเท่ากันทุก ๆ เดือน 

          เช่น อาจจะตั้งเป้าหมายในใจว่าจะต้องออมหุ้นให้ได้เดือนละ 1,000 บาท ลักษณะจะคล้าย ๆ การฝากเงินกับธนาคาร แต่การออมหุ้นจะได้ผลตอบแทนดีกว่า 
หรือในหุ้นบางตัวอาจมีปันผลด้วย เพียงเราหมั่นศึกษาพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวว่ามีพื้นฐานบริษัทดีไหม แนวโน้มราคาหุ้น อัตราดอกเบี้ย เพียงเท่านี้ก็ทำให้เงินเรางอกเงยมากยิ่งขึ้น หรือถ้าช่วงไหนราคาหุ้นตก ก็อย่าเพิ่งเครียดหรือกังวลไป เพราะเราเน้นถือระยะยาวไม่ได้ประเดี๋ยวประด๋าวก็ขาย ดังนั้นจึงอยากให้คิดในแง่บวกว่านี่คือโอกาสทองที่จะทำให้เราได้ซื้อหุ้นตัวนั้นเพิ่มในราคาที่ถูกลงซึ่งเราก็จะได้หุ้นในจำนวนที่มากขึ้น              


          นี่คือระดับความเสี่ยงในการลงทุนประเภทต่าง ๆ

 

มีเงิน 50,000 ลงทุนอะไรดี ให้เป็นเศรษฐีในวันข้างหน้า


          หากสนใจลงทุนในหุ้น มาลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมกันก่อน

          - วิธีเล่นหุ้นด้วยตัวเอง มือใหม่หัดเล่นหุ้นต้องรู้เลย
          - เล่นหุ้นเอง VS ซื้อกองทุนรวมหุ้น ชี้ชัด ๆ ทางเลือกไหนใช่สำหรับคุณ



ลงทุนในธุรกิจออนไลน์


        ในปัจจุบัน ธุรกิจออนไลน์ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนสมัยนี้เข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งจำนวนของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตก็สูงกว่าเมื่อ 10-20 ปีก่อนมาก จากการที่เล่นอินเทอร์เน็ตเพื่อความบังเทิงเพียงอย่างเดียว ยุคสมัยเปลี่ยน พฤติกรรมการเล่นอินเทอร์เน็ตของคนเราก็เปลี่ยนจากแค่เข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็กลายเป็นเพื่อติดตามข้อมูลมาเป็นการทำธุรกิจเชิงพาณิชย์ผ่านโลกออนไลน์กันมากขึ้น ไม่ว่าจะใน Facebook, Instagram, Alibaba, Amazon, Ebay, และเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าอื่น ๆ ก็กำลังผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ดังนั้นการลงทุนทำธุรกิจออนไลน์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะใช้ต้นทุนในการเริ่มต้นธุรกิจไม่สูงนัก

        การลงทุนในธุรกิจออนไลน์ก็เหมือนการทำธุรกิจในโลกแห่งความเป็นจริง ได้กำไรจริง ขาดทุนจริง ล้มจริง เจ็บจริง และเจ๊งได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำธุรกิจออนไลน์แล้วจะประสบความสำเร็จ ผู้ที่สนใจจะลงทุนในธุรกิจประเภทนี้มีข้อได้เปรียบก็คือไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องไปจ้างพรีเซ็นเตอร์ ไม่ต้องไปจ้างเอเจนซี่โฆษณา ทั้งหมดที่กล่าวมาเราสามารถทำเองได้เลยเพียงแค่มีสินค้า มีกลยุทธ์การตลาดที่ดี และมีอินเทอร์เน็ต ! 

          ปัจจุบันร้านค้าออนไลน์มีเยอะมาก ย้ำว่า มาก ! ดังนั้นคนที่จะอยู่ยั้งยืนยงในสมรภูมิแห่งนี้วัดกันที่ใครทำการตลาดได้ดีกว่ากันและทำให้คนรู้จักได้มากกว่ากัน ซึ่งต้องทำให้ลูกค้านึกถึงเราเสมอเมื่อนึกถึงสินค้าชนิดนั้น ๆ ดังนั้นร้านค้าออนไลน์จึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เช่น การขายเสื้อผ้าออนไลน์ การขายเครื่องประดับออนไลน์ การขายอาหารทะเลสดออนไลน์ เป็นต้น

        
         - 14 เส้นทางสู่การมีรายได้จาก Youtube ทำเงินจากโลกออนไลน์  
         - 3 คำถามฮิต เมื่อคิดเปิดร้านค้าขายของออนไลน์  
         - รวมสุดยอดออนไลน์จ๊อบที่ไม่ต้องมีทุน ไม่ต้องใช้แรง แถมง่ายด้วยนะ  
         
ลงทุนในทองคำ

        การลงทุนในทองคำมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยผู้ลงทุนจะไปซื้อทองคำในรูปของทองคำรูปพรรณ หรือทองคำแท่ง มาเก็บไว้เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเป็นส่วนต่างของราคาทอง แต่การลงทุนในทองคำมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะราคาทองคำมีการผันผวนอยู่แทบจะตลอดเวลา ดังนั้นใครที่คิดจะลงทุนในทองคำควรจะเก็บไว้เป็นเงินเย็นคือซื้อเก็บไว้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี เพราะถ้าจะเน้นขายเพื่อทำกำไรระยะสั้นก็ไม่แนะนำครับ เนื่องจากจะได้ผลตอบแทนน้อย หรืออาจะเลือกลงทุนแบบโปรแกรมออมทองที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่ได้ทองคำสะสมไปเรื่อย ๆ ก็ได้เช่นกัน 
    
           - มีเงินแค่หลักพันก็ซื้อทองคำได้ ไม่ต้องใช้เงินก้อนโต 

 


        เป็นยังไงกันบ้างครับกับหลากหลายวิธีการในการทำให้เงิน 50,000 ในกระเป๋าสามารถงอกเงยกลายเป็นเงินแสนเงินล้านได้ หวังว่าแนวทางที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากจะเป็นไกด์ไลน์ให้กับผู้ที่สนใจลงทุนได้ไม่มากก็น้อยนะครับ ไว้มีอะไรดี ๆ กระปุกดอทคอมจะนำมาฝาก อย่าลืมติดตามกันล่ะ

เรียบเรียง Kapook.com

หางานตามสาขาอาชีพ

JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved

jobbkk มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้น ไม่มีเว็บเครือข่าย โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง และหากผู้ใดแอบอ้าง ไม่ว่าทาง Email, โทรศัพท์, SMS หรือทางใดก็ตาม จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด DBD

Top