คำกล่าวที่ว่า "คุกมีไว้ขังคนจน" กลายเป็นเรื่องชาชิน ที่พูดอย่างกว้างขวางของคนในสังคมและโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่คนโจษจัน กล่าวถึงมาโดยตลอด แม้วันเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน ผู้คนทั่วไปก็ยังนึกถึง ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น "ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์" จะพาย้อนเวลารำลึกเหตุการณ์ต่างๆ ว่ามีคดีใดบ้างที่เกิดขึ้นกับคนตระกูลดัง มีตังค์เยอะ
ปอ.ปาดหน้า ไฮโซคลั่ง พุ่งชนดับ 1
กระฉ่อนสังคม ปี 2550 เมื่อหนุ่มไฮโซตระกูลดัง "หมูแฮม" หรือ นายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ ในวัย 20 ปี ก่อเหตุไล่ทำร้ายโชเฟอร์ รถเมล์ ปอ.513 จากนั้นได้ขับรถเบนซ์ ตากลม สีดำ ทะเบียน ศศ6699 พุ่งชน กระเป๋ารถเมล์ ผู้โดยสาร จนทำให้ นางสายชล หลวงแสง พนักงานการเงิน ขสมก. เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายราย โดยก่อนเกิดเหตุ ได้มีการขับรถปาดหน้ากัน โดยหลังก่อเหตุ "หนุ่มไฮโซ" ได้มีอาการชักเกร็ง ซึ่งมีการระบุภายหลังว่ามีอาการทางสมองจนสติฟั่นเฟือน
ศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยนำสืบ พยายามจะหักล้างเรื่อง "สติฟั่นเฟือน" และศาลได้พิพากษาความผิดข้อหา เจตนาฆ่าผู้อื่น ลงโทษจำคุก 15 ปี คำสารภาพเป็นประโยชน์ ประกอบกับที่ผ่านมาได้บรรเทาผลร้ายให้แก่ผู้เสียหายหลายคน เป็นจำนวนเงินพอสมควร เมื่อคำนึงถึงสุขภาพแห่งจิต จึงมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม ฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยพยายามฆ่า จำคุก 10 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นลงโทษจำคุก 2 เดือน ลดโทษในความผิดฐานดังกล่าวให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 1 เดือน รวมโทษจำคุกจำเลยไว้ 10 ปี 1 เดือน
ขณะเกิดเหตุมีอาการชักเกร็ง
ขณะที่ ศาลอุทธรณ์ประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จากพฤติการณ์และสิ่งแวดล้อมในทางนำสืบ เชื่อว่าขณะเกิดเหตุไฮโซหนุ่มกระทำผิด ขับรถขึ้นไปบนทางเท้าชนผู้ตาย และผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่ยังไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง แต่ยังสามารถรู้สึกผิดชอบ และสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายส่วน ทั้งจิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยาคลินิก ลงความเห็นว่าขณะเกิดเหตุได้ป่วยเป็นโรค "อารมณ์แปรปวน" มีลักษณะหุนหันพลันแล่น ที่มีผลต่อการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่สามารถบังคับตนเองได้ เนื่องจากมีสติฟั่นเฟือน โดยมีอาการชักตั้งแต่เด็ก
ยกมือขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ความผิดเจตนาฆ่าผู้อื่น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จำเลยฟังขึ้นบางส่วน ศาลอุทธรณ์จึงเห็นควรลงโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี เห็นควรให้จำคุก 3 ปี และเมื่อจำเลยได้บรรเทาผลร้าย โดยชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียชีวิต 1 ราย และผู้บาดเจ็บ 3 ราย จนเป็นที่พอใจ และไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญากับจำเลยต่อไป จึงเห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี เมื่อรวมโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น อีก 1 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้นเป็นเวลา 2 ปี 1 เดือน
เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง ภายในกำหนด 2 ปี
ยกมือไหว้ ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อีกคดีหนึ่ง ไฮโซสาวซีวิค ซิ่งชนรถตู้ ดับ 9 ศพ เกือบ 2 ปี คำ "ขอโทษ" ค่อยหลุดจากปาก
อีกเรื่องที่คนในสังคมโจษขาน เหตุเริ่มต้น 27 ธ.ค.2553 สาวน้อย วัย 16 ปี ตระกูลดัง ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค สีขาว ทะเบียน ฎว 8461 ชนรถตู้โดยสาร สาย 118 สีเทาฟ้า ทะเบียน 13-7995 บนทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ฝั่งขาเข้า ม.เกษตรฯ บางเขน ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 8 ศพ บาดเจ็บ 7 คน และเสียชีวิตในเวลาต่อมาอีก 1 รวม 9 ศพ
แต่ที่เป็นเรื่องราวและลุกลามบานปลาย คือภาพที่มีการแชร์ในโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นภาพที่สาวผู้ก่อเหตุยืนกดโทรศัพท์ใกล้ซากรถ คล้ายกำลังแชต BB โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างที่เพิ่งเกิดขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับผู้คนจำนวนมาก
รถซีวิคกลายเป็นคดีในตำนาน
นอกจากนี้ หลังเกิดเหตุ เจ้าตัวเองก็ไม่เคยพูดคำว่า "ขอโทษ" ต่อหน้าสาธารณชน แม้แต่ครั้งเดียว จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้ประชาชน โดยเฉพาะโลกไซเบอร์ ได้โจมตีเธออย่างหนัก แต่ก็ไม่เคยปริปาก จนกระทั่ง 16 ส.ค. 2555 เวลาผ่านมาเกือบ 2 ปี ที่สุดแล้ว นายจิรนิติ หะวานนท์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้ออกมาเปิดเผยผลการประชุมเพื่อเยียวยาผู้เสียหาย ว่า สาวไฮโซคนดัง ได้กล่าวขอโทษและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตรับคำขอโทษพร้อมแสดงเจตนาว่าไม่อยากเอาความกับอีกฝ่าย เนื่องจากอายุน้อย
วันที่ 31 ส.ค.55 ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สนามหลวง ศาลนัดอ่านคำพิพากษา โดยศาลพิเคราะห์แล้วมีประจักษ์พยานเป็นผู้เสียหายที่โดยสารมากับรถตู้โดยสารและพนักงานขับรถยกของดอนเมืองโทลล์เวย์ ประกอบกับภาพจากกล้องวงจรปิด ผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ ของกองพิสูจน์หลักฐาน สตช.ยืนยันว่า สาววัย 16 กระทำความผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์อยู่บ้าง มีเหตุให้ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษ มีกำหนด 3 ปี กับให้คุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุก 3 เดือน ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ 48 ชั่วโมง และห้ามขับรถยนต์จนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์ ส่วนความผิดฐานใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ พิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
รถตู้คันเกิดเหตุพังยับ
ในวันนั้น ญาติผู้เสียชีวิตที่มาฟังคำพิพากษา ได้ให้สัมภาษณ์ว่าพอใจกับคำพิพากษา โดยเฉพาะ นางทองพูน พานทอง มารดาของ นางนฤมล พานทอง คนขับรถตู้ที่เสียชีวิตกล่าวทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้มว่า
"คำพิพากษาของศาลในวันนี้ ทำให้รู้สึกดีขึ้น ที่จะไม่มีใครกล่าวหาว่าลูกสาวเป็นคนผิด และสังคมจะได้รู้ว่าลูกไม่ได้กระทำความผิด"
เช่นเดียวกับ นางถวิล เช้าเที่ยง มารดาของ นายศาสตรา เช้าเที่ยง หรือ ดร.เป็ด ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดียวกันกล่าวว่า พอใจผลคำพิพากษา ส่วนจะยื่นอุทธรณ์หรือจะดำเนินคดีทางแพ่งอย่างไรยังไม่ทราบ ต้องปรึกษาทนายอีกครั้ง หลังจากนี้จะกลับไปบอกลูกชายว่า ศาลพิพากษาลงโทษ และภาคทัณฑ์จำเลยแล้ว ส่วนเรื่องการลดหย่อนโทษนั้น ไม่ติดใจอะไร เพราะเข้าใจดีว่าจำเลยเป็นเยาวชน จึงเข้าใจ และทำใจ สิ่งที่เสียใจคือถึงคดีจะออกมาเป็นเช่นไร ก็ไม่สามารถนำลูกชายคนเดียวในชีวิตตนกลับมาได้
รถตู้เสียหายพังไปครึ่งคัน
ต่อมา 22 เม.ย.57 ศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษาแก้โทษจากศาลชั้นต้น ให้จำคุก 2 ปี แต่รอลงอาญา 4 ปี และเพิ่มเวลาบำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมง ต่อปี รวม 4 ปี และห้ามขับรถจนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปี
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.55 ก่อนมีการตัดสินคดี โดยทางศาลเยาวชนได้เปิดโอกาสให้คู่กรณีไกล่เกลี่ย และ ศ.พิเศษ ดร.จิรนิติ หะวานนท์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า เด็กแต่ละคนมีปัญหาไม่เหมือนกัน ศาลจะค้นหาสาเหตุของการกระทำผิด โดยใช้หลักวิชาตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว 2553 และกระบวนการประชุมกลุ่มครอบครัว หรือกระบวนการเชิงสมานฉันท์ ในกฎหมายฉบับนี้ถือว่าศาลทำได้
เหตุการณ์สะเทือนใจที่มีผู้เสียชีวิตถึง 9 คน
ศ.พิเศษ ดร.จิรนิติ กล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าวศาลเยาวชนฯ ไม่ได้นำมาใช้เป็นครั้งแรก แต่ได้ใช้ในคดีเยาวชนที่กระทำผิดมานานแล้ว แต่ไม่เป็นข่าวเท่านั้นเอง อยากขอให้สังคมอย่าได้อาฆาตเยาวชน ว่าเขาจะต้องได้รับโทษเหมือนอย่างที่ได้กระทำผิดลงไป ทางศาลเยาวชนฯ ตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ปัญหาเด็ก เยาวชน และครอบครัว มาโดยตลอด ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างไร เพราะการแก้ปัญหานำเยาวชนไปคุมขัง ไม่ใช่แนวทางออกของการแก้ปัญหาได้เสมอไป
อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนฯ ยังกล่าวอีกว่า การที่ศาลเยาวชนฯ นำ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว 2553 มาบังคับใช้ เพื่อให้เป็นตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในการให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพและการแก้ไข บำบัดฟื้นฟูเด็กเยาวชนและครอบครัว เพื่อต้องการให้เด็กและเยาวชนผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ได้รับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวและชุมชนได้ปกติสุขมากกว่านำไปสู่กระบวนการลงโทษ
ไฮโซทายาทตระกูลดังขับรถหรูพุ่งชนตำรวจดับคาเครื่องแบบ
ช่วงเช้ามืดวันที่ 3 กันยายน 2555 หนุ่มนักเรียนนอก ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ได้ขับรถสุดหรู เฟอร์รารี่ สีดำ พุ่งชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผบ.หมู่ ป. สน.ทองหล่อ ขี่รถ จยย.ตราโล่ 51511 ชนลากจักรยานยนต์ จนเสียชีวิตคาเครื่องแบบ บริเวณปากซอยสุขุมวิท 47 รอยน้ำมันรถได้พาเจ้าหน้าที่มาถึงคฤหาสน์ ในซอยสุขุมวิท 53
รถหรูคันเกิดเหตุ
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ในฐานะ ผบช.น. ได้พาเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบนายไปล้อมบ้าน จากนั้นได้ขอหมายค้น เพื่อที่จะเข้าไปในบ้าน แต่ปรากฏว่า จู่ๆ ได้มีตำรวจระดับ "พ.ต.ท." ได้จัดแจงพา "พ่อบ้านอยู่วิทยา" มามอบตัว รับผิดแทน "บิ๊กแจ๊ด" ถึงกับเดือดจัด สั่งเด้งฟ้าผ่านายตำรวจคนดังกล่าวทันที นอกจากนี้ ยังให้ออกจากราชการไว้ก่อนด้วย
"ผมไม่พอใจก็เพราะไปเอาตัวปลอมมามอบตัว ส่วนคนที่ขับรถชนตำรวจตัวจริงยังลอยนวลอยู่ ผมทราบดีว่า สวป.คนดังกล่าว ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยให้กับบ้านของลูกชายอดีตเจ้าสัวกระทิงแดง แต่ทำงานแบบนี้ใช้ไม่ได้” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
มาเคารพศพผู้เสียชีวิต
หลังถูกกดดันหนัก สุดท้ายทายาทตระกูลดังก็ยอมมอบตัว หลังตรวจร่างกายเบื้องต้น พบว่า มีแอลกอฮอล์ 64.8 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเกินกฎหมายกำหนด แต่ทางทนายได้อ้างว่า ไฮโซหนุ่มได้ดื่มทีหลัง เพราะเกิดความเครียดหลังเกิดเหตุ นอกจากนี้ ยังพบสารซึ่งเป็นส่วนประกอบในยาเสพติดและยานอนหลับ อีกอย่างน้อย 3 ชนิด คือ โคเคน, กาเฟอีน และอัลปราโซแลม (ยาในกลุ่มเบนโซดายเซปไปน์) แต่ต่อมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สามารถยืนยันถึงสารดังกล่าวได้ โดยมีการสั่งการให้พนักงานสอบสวนไปสอบปากคำแพทย์ หากมีความเห็นเป็นอื่น ก็จะสั่งให้ดำเนินคดีทันที
หลังจากนั้น เจ้าพนักงานได้มีความเห็นส่งฟ้อง 2 ข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน และมีความเห็นไม่ฟ้อง 2 ข้อหา คือ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และขับรถโดยขณะมึนเมา
4 เม.ย.56 พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาใต้ 1 ได้นัดฟังคำสั่ง โดยอัยการพิจารณาแล้ว "เห็นควรสั่งฟ้อง" ความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดฯ อีก 1 ข้อหา จากหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่ามีความเร็วสูงถึง 170 กม.ต่อชั่วโมง
"ส่วนข้อหาขับรถในขณะมึนเมาสุรานั้น มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน เพราะแม้ผลตรวจแอลกอฮอล์เกิน ก็ระบุไม่ได้ว่า ดื่มก่อนขับหรือหลังขับ ทั้งที่เจาะเลือดในช่วงบ่าย" นายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กล่าว
โชว์เอกสารคดีทายาทกระทิงแดง
แต่สุดท้าย ข้อหาขับรถเร็วเกินอัตรากฎหมายกำหนด ก็ส่งฟ้องไม่ได้ เนื่องจากทนายความของหนุ่มไฮโซได้ขอเลื่อนนัดต่อเนื่องถึง 5 ครั้ง และขอให้สอบพยานเพิ่มอีก 4 และมีการอ้างเรื่องการป่วย โดยมีใบรับรองแพทย์ สุดท้ายก็หมดอายุความ เนื่องจากเป็นความผิดลหุโทษ มีอายุความ 1 ปี
ล่าสุด ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ได้สอบถามความคืบหน้ากับสำนักงานอัยการสูงสุด พบว่า นายวรยุทธ ได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาคำร้อง แต่อย่างไรก็ดี ทางอัยการยืนยันว่า มีข้อกำหนดไม่ให้คดีหมดอายุความก่อนส่งฟ้องศาลอยู่แล้ว
ทั้งหมดคือความคืบหน้าล่าสุดของคดีต่างๆ ที่หนุ่มสาวไฮโซ ตระกูลดังได้ประสบ ที่น่าแปลกคือ สิ่งที่เกิดขึ้นได้เกิดความเคลือบแคลงใจของสังคมว่า ทุกคน "รอดคุก" แล้วหากคนเหล่านี้ เป็นแค่ตาสี ยายสา ชาวบ้านเดินดิน ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร...
หางานตามสาขาอาชีพ
JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved
jobbkk มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้น ไม่มีเว็บเครือข่าย โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง และหากผู้ใดแอบอ้าง ไม่ว่าทาง Email, โทรศัพท์, SMS หรือทางใดก็ตาม จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด